การวางแผนโครงการด้วย PERT/CPM
โครงการ (project) มีลักษณะแตกต่างจากงานประจำในแง่ของเวลาและการดำเนินการ
โครงการจะประกอบด้วยกิจกรรมซึ่งมีจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุด
หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งโครงการ คือ งานที่มีเวลาแล้วเสร็จ แตกต่างกับงานประจำซึ่งไม่มีเวลาสิ้นสุดของการทำงาน
การวางแผนโครงการก็มีลักษณะคล้ายคลึงกับ
การวางแผนงานอื่นๆ คือ การกำหนดแนวทางปฏิบัติว่าจะต้องทำอะไรบ้าง
เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่ต้องการ
เช่นเดียวกับการวางแผนโดยทั่วไป
การวางแผนโครงการก็มีขั้นตอนต่างๆ โดยเริ่มจากการกำหนด เป้าหมาย ของโครงการ
ซึ่งประกอบด้วยทรัพยากรที่ต้องการ
เวลาแล้วเสร็จของโครงการและผลลัพธ์ที่จะได้
การกำหนดและมอบหมายงานให้แก่ผู้มีส่วนร่วมในโครงการ
การประมาณการเวลาที่ต้องใช้และทรัพยากรที่ต้องการในการทำกิจกรรมต่างๆ ในโครงการ
โดยอาศัย วิธีการพยากรณ์ การวางแผนการใช้เงินตลอดจนการควบคุมงบประมาณให้อยู่ภายในปริมาณที่กำหนด
และประการสุดท้ายผู้บริหารโครงการจะต้องกำหนดนโยบายเพื่อการทำกิจกรรมว่า
กิจกรรมจะมีผลกระทบต่อการดำเนินโครงการมากที่สุดในแง่ของเวลาที่แล้วเสร็จของโครงการ
และในกรณีที่ต้องเร่งโครงการให้เสร็จเร็วขึ้นกว่าที่วางแผนไว้ ผู้บริหารโครงการจะต้องกำหนดว่าควรจะใช้ทรัพยากรในกิจกรรมใดเพื่อเร่งรัดให้โครงการเสร็จเร็วขึ้นได้ตามที่ต้องการ
นอกจากนี้
ผู้บริหารโครงการยังจะต้องกำหนดลำดับการทำงานก่อนหลังของกิจกรรมต่างๆ
ในโครงการว่า จะต้องทำ
กิจกรรมใดก่อนหลังกันอย่างไร
ในด้านของการควบคุมและติดตามผลของโครงการ
ผู้บริหารโครงการจะต้องติดตามผลของโครงการ
โดยการวิเคราะห์เปรียบเทียบผลการดำเนินการกับสิ่งที่ได้วางแผนไว้
สิ่งที่จำเป็นจะต้องควบคุมและติดตามผลคือ ค่าใช้จ่ายในการทำกิจกรรม
ระยะเวลาของการทำกิจกรรม และผลงานที่ได้ การควบคุมโครงการจำเป็นต้องอาศัยการวางแผนอย่างละเอียดและถูกต้อง
การกำหนดมาตรฐานเพื่อใช้ในการควบคุมอย่างรัดกุม
และการมีข้อมูลและสารสนเทศอย่างเพียงพอ
กล่าวโดยสรุปสำหรับผู้บริหารโครงการ
สิ่งซึ่งจำเป็นจะต้องรู้เพื่อการวางแผนและควบคุมโครงการได้อย่างมีประสิทธิภาพ คือ
1.
ในโครงการมีกิจกรรมหรืองานย่อยอะไรบ้างที่จะต้องทำ
แต่ละกิจกรรมมีความสัมพันธ์กันอย่างไร กิจกรรมใดต้องทำก่อน
กิจกรรมใดต้องทำหลังจากกิจกรรมใด และเวลาที่ต้องใช้ในการทำแต่ละกิจกรรมเป็นเท่าใด
2.
โครงการที่ทำมีเวลาแล้วเสร็จเป็นเท่าไร
3.
ในบรรดากิจกรรมต่างๆ มีกิจกรรมใดบ้างที่ถือว่าเป็นกิจกรรมวิกฤต (critical activity) ซึ่งหมายถึงกิจกรรมที่เมื่อเกิดล่าช้าไปกว่าที่กำหนด
จะมีผลกระทบต่อเวลาแล้วเสร็จทั้งหมดของโครงการ
4.
ในบรรดากิจกรรมต่างๆ มีกิจกรรมใดบ้างที่เมื่อเกิดการล่าช้า
จะไม่มีผลกระทบต่อเวลาแล้วเสร็จของโครงการ และกิจกรรมเหล่านี้อาจล่าช้าได้นานมากที่สุดเท่าใด
จึงจะไม่มีผลต่อเวลาแล้วเสร็จของโครงการ
5.
ในกรณีที่ต้องการเร่งให้โครงการเสร็จเร็วขึ้นกว่าที่กำหนด
จะต้องทำการเร่งรัดกิจกรรมใดบ้าง
และจะทำอย่างไรจึงทำให้ต้นทุนการเร่งรัดกิจกรรมถูกที่สุด
การวิเคราะห์ข่ายงาน PERT/CPM
การวิเคราะห์ข่ายงาน PERT/CPM มีวัตถุประสงค์เพื่อหาวิถีวิกฤตของโครงการ
ขั้นตอนการวิเคราะห์ข่ายงานประกอบด้วย
การแยกแยะงาน (job berakdown)
เป็นขั้นตอนการแจกแจงของกิจกรรมต่างๆ
ที่จำเป็นต้องทำในโครงการทั้งหมดว่า มีกิจกรรมอะไรบ้างที่ต้องทำ กิจกรรมต่างๆ
มีความสัมพันธ์กันอย่างไร กิจกรรมใดต้องทำก่อน กิจกรรมใดต้องทำหลัง
การประมาณการเวลาของกิจกรรม (activity time estimation) เป็นการประมาณการเวลาที่ต้องใช้ทำแต่ละกิจกรรมโดยอาศัยผู้ชำนาญงานในแต่ละกิจกรรม
สำหรับข่ายงาน CPM การประมาณการจะทำโดยประมาณการเพียงค่าเดียว
โดยถือว่าค่านี้มีความเป็นไปได้มากที่สุด มีโอกาสน้อยมากที่จะเกิดความคลาดเคลื่อน
ในกรณีของ PERT การประมาณการเวลาแล้วเสร็จของกิจกรรมจะถือว่าเวลาการทำกิจกรรมมีลักษณะการแจกแจงแบบเบตา
ดังแสดงในรูป การประมาณการเวลาสำหรับกิจกรมจะต้องประมาณการ
3 จุด คือ a m และ b โดยที่
a
หมายถึงเวลาที่คาดว่าจะทำกิจกรรมแล้วเสร็จได้เร็วที่สุด
(optimistic time)
b หมายถึงเวลาที่คาดว่าจะทำกิจกรรมแล้วเสร็จได้ช้าที่สุด
(pessimistic time)
m หมายถึงเวลาที่เป็นไปได้มากที่สุดที่จะทำกิจกรรมแล้วเสร็จ
(most pikely time)
จากทฤษฎีของการแจกแจงแบบเบตา
ทำการคำนวณหาค่าคาดหมายของเวลาแล้วเสร็จของกิจกรรมจากสูตร
จากนั้นจึงค่าคาดหมาย t แทนเวลาแล้วเสร็จของกิจกรรม เพื่อใช้ในการวิเคราะห์ข่ายงานต่อไป
เนื่องจากเวลาแล้วเสร็จของกิจกรรมสำหรับข่ายงาน
PERT มีการแจกแจงแบบเบตา ดังนั้นเวลาแล้วเสร็จของแต่ละกิจกรรมจึงมีค่าความแปรปรวนซึ่งคำนวณได้จากสูตร
ค่าความแปรปรวนนี้จะใช้เพื่อหาค่าความน่าจะเป็น
ที่โครงการจะเสร็จภายในเวลาที่กำหนด
เขียนข่ายงาน (draw network)
เมื่อได้แยกแยะกิจกรรมต่างๆ
ที่ต้องทำตลอดจนความสัมพันธ์ของ กิจกรรมต่างๆ ในโครงการ
และประมาณการเวลาในการทำกิจกรรมแล้ว
ขั้นตอนต่อไปคือการเขียนข่ายงานโดยอาศัยหลักการที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น
วิเคราะห์หาวิถีวิกฤต (critical path analysis) หลังจากเขียนข่ายงานเสร็จแล้วขั้นตอนสุดท้ายคือการหาวิถีวิกฤตของข่ายงาน
จากวิถีวิกฤตนี้จะทำให้ทราบถึงเวลาแล้วเสร็จของโครงการว่าเป็นเท่าใด
และกิจกรรมใดบ้างที่อยู่ในวิถีวิกฤต
ซึ่งจะทำไปสู่การวางแผนตัดสินใจเพื่อควบคุมโครงการ หรือเร่งรัดโครงการต่อไป
ในการคำนวณหาวิถีวิกฤตจำเป็นต้องทราบถึงนิยามต่างๆ
ที่ใช้ในการวิเคราะห์ดังต่อไปนี้คือ
เวลาเริ่มต้นเร็วที่สุด (earliest start, ES) หมายถึง
เวลาเร็วที่สุดที่กิจกรรมจะสามารถเริ่มต้นทำได้
เวลาแล้วเสร็จเร็วที่สุด (earliest finish, EF) หมายถึง เวลาเร็วที่สุดที่กิจกรรมสามารถทำเสร็จได้
เวลาเริ่มต้นช้าที่สุด (Latest start, LS) หมายถึง
เวลาช้าที่สุดที่กิจกรรมจะสามารถเริ่มต้นได้
โดยไม่ทำให้เวลาแล้วเสร็จของโครงการล่าช้าไปกว่าที่วางแผนไว้
เวลาแล้วเสร็จช้าที่สุด
(Latest finish, LF) หมายถึง เวลาช้าที่สุดที่กิจกรรมจะสามารถทำเสร็จได้
โดยไม่ทำให้เวลาแล้วเสร็จของโครงการล่าช้าไปกว่าที่วางแผนไว้
เวลาลอยตัวอิสระ (free float, FF) หมายถึง
เวลาที่กิจกรรมสามารถเลื่อนเวลาเริ่มต้นหรือทำล่าช้าออกไปจากที่กำหนด
โดยไม่มีผลกระทบที่จะทำให้เวลาแล้วเสร็จของโครงการเสร็จล่าช้ากว่ากำหนด
และไม่มีผลทำให้กำหนดเวลาเริ่มต้นของกิจกรรมอื่นที่ตามหลังต้องเลื่อนตามไปด้วย
เวลาลอยตัวรวม (total float, TF) หมายถึง
เวลาที่กิจกรรมสามารถเลื่อนเวลาเริ่มต้นหรือทำล่าช้าออกไปจากที่กำหนด
โดยไม่มีผลกระทบที่จะทำให้เวลาแล้วเสร็จของโครงการเสร็จล่าช้ากว่าที่กำหนด
แต่อาจทำให้เวลาเริ่มต้นเร็วที่สุดของกิจกรรมที่ตามหลังเลื่อนตามไปด้วย
วิถีวิกฤต (critical path) เป็นวิถีที่ประกอบด้วยกิจกรรมที่มีเวลาลอยตัวเป็นศูนย์
การคำนวณเวลาเริ่มต้นเร็วที่สุด
(ES) และเวลาแล้วเสร็จเร็วที่สุด (EF) ทำโดยอาศัยหลักเกณฑ์สำคัญ 2 ประการ คือ
1.
เวลาแล้วเสร็จเร็วที่สุดของกิจกรรมมีค่าเท่ากับเวลาเริ่มต้นเร็วที่สุดของกิจกรรมบวกกับเวลาที่ใช้ในการทำกิจกรรมนั้น
ซึ่งสามารถเขียนเป็นความสัมพันธ์ คือ
เมื่อ t เป็นเวลาในการทำกิจกรรม
2.
สำหรับวงกลมที่มีกิจกรรมเข้าเพียงกิจกรรมเดียว ES ของกิจกรรมต่างๆ ที่ออกจากวงกลมนั้น จะมีค่าเท่ากับ EF ของกิจกรรมที่เข้าสู่วงกลม แต่ถ้ามีกิจกรรมหลายกิจกรรมเข้าที่วงกลม ES ของกิจกรรมที่ออกจากวงกลมมีค่าเท่ากับค่า EF ที่มากที่สุดของกิจกรรมที่เข้าวงกลม ดังแสดงในรูป
ตัวอย่างที่ 1 จงคำนวณเวลาเริ่มต้นเร็วที่สุด
และเวลาแล้วเสร็จเร็วที่สุดของแต่ละกิจกรรมของข่ายงาน
วิธีทำ สมมติให้เวลาเริ่มต้นเร็วที่สุดของกิจกรรมที่ไม่มีกิจกรรมใดนำหน้ามีค่าเป็น
0 ดังนั้นเวลา
เริ่มต้นเร็วที่สุดของกิจกรรม A
และ B มีค่าเป็นศูนย์ จากหลักเกณฑ์ที่ได้กล่าวมาแล้ว
เวลาแล้วเสร็จเร็วที่สุดของกิจกรรม A และ คำนวณได้ ดังนี้ คือ
กิจกรรม A :
EF = 0 + 8 =
8
กิจกรรม B :
EF = 0 + 4 =
4
เวลาเริ่มต้นเร็วที่สุดของกิจกรรม
C และ D มีค่าเท่ากับเวลาแล้วเสร็จเร็วที่สุดของกิจกรรม
A ส่วนเวลาเริ่มต้นเร็วที่สุดของกิจกรรม E มีค่าเท่ากับเวลาแล้วเสร็จที่สุดของกิจกรรม B การคำนวณเวลาแล้วเสร็จเร็วที่สุดของกิจกรรม C, D และ E ก็ทำได้เช่นเดียวกับของกิจกรรม A และ B คือ
กิจกรรม C :
ES = 8; EF =
8 + 6 = 14
กิจกรรม D :
ES = 8; EF =
8 + 11 = 19
กิจกรรม E :
ES = 8; EF =
4 + 9 = 13
สำหรับกิจกรรมสุดท้าย F เวลาเริ่มต้นเร็วที่สุด คือ เวลาแล้วเสร็จเร็วที่สุดของกิจกรรม C และเวลาแล้วเสร็จเร็วที่สุดของกิจกรรม F ก็สามารถคำนวณได้คือ
กิจกรรม F :
ES = 14; EF =
14 + 3 = 17
กิจกรรมสุดท้าย คือ G เวลาเริ่มต้นเร็วที่สุดเลือกจากเวลาแล้วเสร็จเร็วที่สุดของกิจกรรม D, E และ F โดยเลือกค่าที่มากที่สุด คือของกิจกรรม D ดังนั้น
กิจกรรม G :
ES = 19; EF =
19 + 1 = 20
สรุปเวลาเริ่มต้นและแล้วเสร็จเร็วที่สุดของแต่ละกิจกรรมเป็นดังนี้
คือ
กิจกรรม |
เวลาที่ใช้ทำกิจกรรม |
ES |
EF |
A |
8 |
0 |
8 |
B |
4 |
0 |
4 |
C |
6 |
8 |
14 |
D |
11 |
8 |
19 |
E |
9 |
4 |
13 |
F |
3 |
14 |
17 |
G |
1 |
19 |
20 |
สำหรับการคำนวณเวลาเริ่มต้นช้าที่สุด
(LS) และเวลาแล้วเสร็จช้าที่สุด (LF) จะคำนวณย้อนกลับจากกิจกรรมสุดท้ายไปยังกิจกรรมแรก
และทำได้โดยอาศัยหลักเกณฑ์ที่สำคัญ 2 ประการ คือ
1.
เวลาเริ่มต้นช้าที่สุดของกิจกรรมมีค่าเท่ากับเวลาแล้วเสร็จช้าที่สุดของกิจกรรม
ลบด้วยเวลาที่ใช้ในการทำกิจกรรมนั้น
ซึ่งสามารถเขียนเป็นความสัมพันธ์
คือ
2.
สำหรับวงกลมที่มีกิจกรรมออกจากวงกลมเพียงกิจกรรมเดียว LF ของกิจกรรมที่เข้าสู่วงกลมมีค่าเท่ากับ LS ของกิจกรรมที่ออกจากวงกลมนั้น
แต่ถ้ามีกิจกรรมออกจากวงกลมหลายกิจกรรม LF ของกิจกรรมที่เข้าวงกลมจะมีค่าเท่ากับ
LS ที่น้อยที่สุดของกิจกรรมที่ออกจากวงกลม ดังแสดงในรูป
ตัวอย่างที่ 2 จงคำนวณเวลาเริ่มต้นช้าที่สุด (LS) และเวลาเริ่มต้นเร็วที่สุดของแต่ละกิจกรรมของข่ายงานใน
ตัวอย่างที่ 1
วิธีทำ กำหนดให้เวลาแล้วเสร็จช้าที่สุด
(LF) ของกิจกรรมสุดท้ายคือ G มีค่าเท่ากับเวลาแล้วเสร็จเร็วที่สุด (EF) ของกิจกรรม และการคำนวณหาเวลาเริ่มต้นเร็วที่สุด (LS) ของกิจกรรม G ทำได้โดยอาศัยสมการ ดังนั้น
กิจกรรม G :
LF = EF
= 20; LS
= LF t =
20 1 = 19
กิจกรรม D,
E และ F มีค่า LF เท่ากับค่า LS ของกิจกรรม G คือ 19 การคำนวณ LS
ของกิจกรรม D,E และ F จะได้ผลลัพธ์คือ
กิจกรรม D
: LF =
19;
LS = 19 - 11 =
8
กิจกรรม E :
LF = 19; LS =
19 - 9 = 10
กิจกรรม F :
LF = 19; LS =
19 - 3 = 16
ในทำนองเดียวกัน ค่า LS และ LF ของกิจกรรม B และ C คำนวณได้ดังนี้คือ
กิจกรรม B :
LF = 10; LS =
10 - 4 = 6
กิจกรรม C :
LF = 16; LS =
16 - 6 = 10
สำหรับกิจกรรม A ค่า LF ของกิจกรรมเลือกจาก LS ของกิจกรรม C และ D โดยเลือกกิจกรรมที่มี LS น้อยที่สุด
ในที่นี้คือของกิจกรรม D ซึ่งมีค่าเท่ากับ 8 และค่า LS คำนวณได้ดังแสดงคือ
กิจกรรม A :
LF = 8; LS =
8 - 8 = 0
สรุปเวลาเริ่มต้นและแล้วเสร็จช้าที่สุดของกิจกรรมได้ดังนี้
คือ
กิจกรรม |
เวลาที่ใช้ทำกิจกรรม |
LF |
LS |
A |
8 |
8 |
0 |
B |
4 |
10 |
6 |
C |
6 |
16 |
10 |
D |
11 |
19 |
8 |
E |
9 |
19 |
10 |
F |
3 |
19 |
16 |
G |
1 |
20 |
19 |
ดังที่ได้กล่าวมาแล้วว่าวิถีวิกฤตประกอบด้วยกิจกรรมที่มีค่าเวลาลอยตัวเป็นศูนย์
กิจกรรมที่อยู่ในวิถีวิกฤตคือ กิจกรรมวิกฤต
กิจกรรมวิกฤตถ้าเกิดการล่าช้าจะมีผลกระทบต่อเวลาแล้วเสร็จของโครงการทั้งหมด
กิจกรรมวิกฤตจึงต้องได้รับการควบคุมอย่างดีโดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านเวลาการวิเคราะห์หาวิถีวิกฤตทำได้โดยการคำนวณหาเวลาลอยตัวรวม
(TF) ซึ่งคำนวณได้จากสมการ
TF =
LS ES
หรือ TF =
LF EF
กิจกรรมใดที่มีค่าเวลาลอยตัวรวมเป็นศูนย์
ก็คือกิจกรรมในวิถีวิกฤต
นอกจากนี้การวิเคราะห์ข่ายงานยังต้องการรู้ถึงเวลาลอยตัวอิสระของแต่ละกิจกรรม
ซึ่งคำนวณได้จากสมการ คือ
FF =
ES ของกิจกรรมถัดไป
EF ของกิจกรรมที่พิจารณาอยู่
ตัวอย่างที่
4 จงวิเคราะห์หาวิถีวิกฤตของข่ายงานในตัวอย่างที่
1 และคำนวณหาเวลาลอยตัว
อิสระของแต่ละกิจกรรม
อธิบายความหมายของเวลาลอยตัวอิสระและเวลาลอยตัวรวม โดยยกตัวอย่างประกอบ
วิธีทำ จากตัวอย่างที่ 2 และ 3 สามารถคำนวณหาเวลาลอยตัวรวม (TF) และเวลาลอย
ตัวอิสระ (EF) ได้ดังแสดงในตารางต่อไปนี้
กิจกรรม
|
เวลาในการทำกิจกรรม |
ES |
EF |
LS |
LF |
กิจกรรม ถัดไป |
ES ของ กิจกรรมถัดไป |
FF |
TF |
A |
8 |
0 |
8 |
0 |
8 |
C,D |
8 |
0 |
0 |
B |
4 |
0 |
4 |
6 |
10 |
E |
4 |
0 |
6 |
C |
6 |
8 |
14 |
10 |
16 |
F |
14 |
0 |
2 |
D |
11 |
8 |
19 |
8 |
19 |
G |
19 |
0 |
0 |
E |
9 |
4 |
13 |
10 |
19 |
G |
19 |
6 |
6 |
F |
3 |
14 |
17 |
16 |
19 |
G |
19 |
2 |
2 |
G |
1 |
19 |
20 |
19 |
20 |
|
20 |
0 |
0 |
ดังนั้นวิถีวิกฤตประกอบด้วยกิจกรรม
A, D และ G
ดังแสดงในรูป
ดังนั้นสรุปได้ว่าโครงการตามข่ายงานต้องใช้เวลาในการทำโครงการทั้งสิ้นรวม
20 หน่วยเวลา โดยมีกิจกรรมวิกฤตคือ
A, D และ G
เวลาลอยตัวอิสระหมายถึง เวลาที่กิจกรรมสามารถล่าช้าได้โดยไม่ทำให้กิจกรรมอื่นที่ตามมาต้องเลื่อนตามไปด้วย
และเวลาแล้วเสร็จของโครงการก็ไม่ล่าช้าออกไป ส่วนเวลาลอยตัวรวมหมายถึง
เวลาที่กิจกรรมสามารถล่าช้าได้โดยไม่มีผลกระทบต่อเวลาแล้วเสร็จของโครงการ
แต่อาจมีผลทำให้กิจกรรมที่ตามมาต้องเลื่อนตามออกไป ตัวอย่างเช่น กิจกรรม B มี FF = 0 หมายความว่าถ้ากิจกรรม B เลื่อนช้าออกไปแม้แต่ 1 หน่วย
ก็จะทำให้กิจกรรมที่ตามมาคือ E ต้องเริ่มต้นล่าช้าตามไปด้วย
แต่กิจกรรม B มี TF
= 6 หมายความว่า
กิจกรรม B อาจล่าช้าไปได้อีก 6 หน่วยเวลา โดยไม่ทำให้เวลาแล้วเสร็จของโครงการล่าช้าออกไปเลย
ตัวอย่างที่
5 โครงการแนะนำผลิตภัณฑ์ใหม่ออกสู่ท้องตลาด
มีกิจกรรมต่างๆ ที่ต้องทำดัง
แสดงในตารางต่อไปนี้ จงเขียนข่ายงาน PERT/CPM และวิเคราะห์หาเวลาที่ต้องใช้ในการทำโครงการและกิจกรรมที่เป็นกิจกรรมวิกฤตของโครงการ
รหัส กิจกรรม |
รายละเอียด |
กิจกรรมที่ต้องทำก่อน |
เวลาในการทำกิจกรรม (สัปดาห์) |
A |
จัดองค์การเพื่อการขาย
|
- |
6 |
B |
ว่าจ้างพนักงานขาย |
A |
4 |
C |
ฝึกอบรมพนักงานขาย |
B |
4 |
D |
เลือกตัวแทนโฆษณา |
A |
2 |
E |
วางแผนโฆษณา |
D |
2 |
F |
ทำการโฆษณา |
E |
10 |
G |
ออกแบบภาชนะบรรจุผลิตภัณฑ์ |
- |
2 |
H |
ติดตั้งเครื่องบรรจุผลิตภัณฑ์ |
G |
10 |
I |
บรรจุผลิตภัณฑ์ที่มีในสต็อก |
H, J |
6 |
J |
สั่งผลิตภัณฑ์จากบริษัทผู้ผลิต |
- |
13 |
K |
เลือกตัวแทนจำหน่าย |
A |
9 |
L |
จำหน่ายผลิตภัณฑ์ให้ตัวแทนจำหน่าย |
C, K |
3 |
M |
ขนส่งผลิตภัณฑ์ให้ตัวแทนจำหน่าย |
I, L |
5 |
วิธีทำ ข่ายงานของโครงการแนะนำผลิตภัณฑ์ใหม่ออกสู่ท้องตลาดแสดงอยู่ในรูป
การวิเคราะห์วิถีวิกฤตของข่ายงานดังแสดงอยู่ในตารางต่อไปนี้ ซึ่งเป็นการคำนวณเพื่อหาวิถีวิกฤตของโครงการแนะนำผลิตภัณฑ์ใหม่สู่ท้องตลาด
กิจกรรม
|
เวลาในการทำกิจกรรม |
ES |
EF |
LS |
LE |
กิจกรรม ถัดไป |
ES ของ กิจกรรมถัดไป |
FF |
TF
|
A |
6 |
0 |
6 |
0 |
6 |
B, D, K |
6 |
0 |
0 |
B |
4 |
6 |
10 |
6 |
10 |
C |
10 |
0 |
0 |
C |
7 |
10 |
17 |
10 |
17 |
L |
17 |
0 |
0 |
D |
2 |
6 |
8 |
9 |
11 |
E |
8 |
0 |
3 |
E |
4 |
8 |
12 |
11 |
15 |
F |
12 |
0 |
3 |
F |
10 |
12 |
22 |
15 |
25 |
- |
25 |
3 |
3 |
G |
2 |
0 |
2 |
2 |
4 |
H |
2 |
0 |
2 |
H |
10 |
2 |
12 |
4 |
14 |
I |
13 |
1 |
2 |
I |
6 |
13 |
19 |
14 |
20 |
M |
20 |
1 |
1 |
J |
13 |
0 |
13 |
1 |
14 |
I |
13 |
0 |
1 |
K |
9 |
6 |
15 |
8 |
17 |
L |
17 |
2 |
2 |
L |
3 |
17 |
20 |
17 |
20 |
M |
20 |
0 |
0 |
M |
5 |
20 |
25 |
20 |
25 |
- |
25 |
0 |
0 |
จากตารางข้างต้น จะได้ว่าวิถีวิกฤตประกอบด้วยกิจกรรมต่าง ๆ คือ A, B, C, L และ M โดยมีเวลาแล้วเสร็จของโครงการ 25 สัปดาห์
การเร่งรัดกิจกรรม
การประมาณการเวลาแล้วเสร็จของกิจกรรม โดยทั่วไปจะประมาณการโดยพิจารณาถึงทรัพยากรที่ใช้ในการทำกิจกรรมซึ่งประกอบด้วยแรงงาน และเงินทุน ในกรณีที่ต้องการเร่งรัดโครงการให้เสร็จเร็วขึ้นกว่าที่คาดหมายก็สามารถทำได้โดยการระดมทรัพยากรเพิ่มขึ้น การเร่งรัดโครงการให้เสร็จเร็วขึ้น อาจทำเพื่อหลีกเลี่ยงความเสียหายที่จะเกิดขึ้นเนื่องจากการทำโครงการล่าช้ากว่าที่กำหนด เช่น ถูกปรับ หรือเพื่อประโยชน์ในการลดค่าใช้จ่ายด้านการดำเนินการ ถ้าสามารถเร่งโครงการให้เสร็จเร็วขึ้นกว่าที่กำหนด ค่าใช้จ่ายหรือต้นทุนเพื่อการดำเนินการกิจกรรมมีความสัมพันธ์กับเวลาแล้วเสร็จของกิจกรรม ดังแสดงในรูป
จากรูปจะเห็นได้ว่าถ้าต้องการเร่งรัดกิจกรรมให้เสร็จเร็วขึ้นกว่าปกติจะต้องเพิ่มต้นทุนการดำเนินกิจกรรม ความสัมพันธ์ระหว่างเวลาและต้นทุนของการดำเนินกิจกรรมนี้อาจมีลักษณะเชิงเส้น คือเมื่อยิ่งเร่งรัดเวลามากขึ้นเท่าใด ต้นทุนการเร่งรัดกิจกรรมก็จะสูงขึ้นมาก ในการบริหารโครงการ ผู้บริหารโครงการอาจเลือกตัดสินใจเร่งรัดกิจกรรมในโครงการเพื่อเร่งรัดโครงการให้เสร็จเร็วขึ้น เพื่อการตัดสินใจที่มีประสิทธิภาพว่าจะเลือกเร่งรัดกิจกรรมใด ผู้บริหารจะต้องมีข้อมูลในด้านต่อไปนี้ คือ
1. ความสัมพันธ์ของเวลาแล้วเสร็จ และต้นทุนของการดำเนินกิจกรรมแต่ละกิจกรรม
2. กิจกรรมใดบ้างที่เป็นกิจกรรมวิกฤต
การเร่งรัดกิจกรรมเพื่อทำให้เวลาแล้วเสร็จของโครงการเสร็จเร็วขึ้น จะต้องทำกับกิจกรรมที่อยู่ในวิกฤต หรือเร่งรัดกิจกรรมวิกฤตเท่านั้น ทั้งนี้เพราะการเร่งรัดกิจกรรมที่ไม่ใช่กิจกรรมวิกฤตจะไม่มีผลทำให้เวลาแล้วเสร็จของโครงการเสร็จเร็วขึ้นแต่อย่างใด และการเลือกเร่งรัดกิจกรรมวิกฤตก็จะต้องเลือกเร่งรัดกิจกรรมที่มีต้นทุนเพิ่มขึ้นเนื่องจากการเร่งรัดต่ำที่สุดก่อน นอกจากนี้การเร่งรัดกิจกรรมเพื่อทำให้โครงการแล้วเสร็จเร็วขึ้น ก็ควรทำเฉพาะเท่าที่ผลประโยชน์ที่ได้รับจากการเร่งรัดโครงการ มีค่าสูงกว่าต้นทุนที่ต้องจ่ายเพิ่มขึ้นเพื่อการเร่งรัดกิจกรรม ผลประโยชน์จากการเร่งรัดโครงการให้เสร็จเร็วขึ้น อาจอยู่ในลักษณะของเงินชดเชยหรือรางวัลที่ได้ ถ้าสามารถทำให้โครงการเสร็จเร็วกว่ากำหนด หรือการที่ไม่ต้องเสียค่าปรับเนื่องจากสามารถเร่งรัดโครงการให้แล้วเสร็จตามกำหนด หรือการลดค่าใช้จ่ายเพื่อการดำเนินการโครงการเนื่องจากโครงการเสร็จเร็วขึ้น เป็นต้น ดังรูป แสดงความสัมพันธ์ของต้นทุนการดำเนินการ ต้นทุนการเร่งรัดโครงการ และต้นทุนรวม ของการเร่งรัดกิจกรรมในโครงการ
ขั้นตอนในการเร่งรัดกิจกรรมเพื่อทำให้โครงการเสร็จเร็วขึ้น ประกอบด้วย
1. รวบรวมข้อมูลเพื่อหาความสัมพันธ์ระหว่างเวลาแล้วเสร็จ และต้นทุนของการดำเนินกิจกรรมของทุกกิจกรรมในโครงการ
2. วิเคราะห์หาวิถีวิกฤต
3. เร่งรัดกิจกรรมวิกฤต โดยเลือกเร่งรัดกิจกรรมที่มีต้นทุนการเร่งรัดงานต่ำที่สุดก่อน การเร่งรัดให้ทำทีละหน่วยเวลา และทำการเร่งรัดจนกว่าจะได้เวลาแล้วเสร็จของโครงการตามที่ต้องการ หรือจนกว่าต้นทุนการเร่งรัดกิจกรรมจะมีค่าสูงกว่าผลประโยชน์ที่ได้จากการเร่งรัดโครงการ
ตัวอย่างที่ 7 จากข่ายงานในรูป และความสัมพันธ์ของต้นทุนและเวลาแล้วเสร็จของการดำเนินกิจกรรม
ดังแสดงในตาราง จงหาว่าควรเร่งรัดโครงการให้เสร็จในเวลากี่วันจึงจะดีที่สุด ถ้าการดำเนินโครงการต้องเสียค่าใช้จ่ายวันละ 1,150 บาท
กิจกรรม |
เวลาแล้วเสร็จปกติ |
เวลาแล้วเสร็จเร็วที่สุด |
ต้นทุนเร่งรัด/วัน |
A |
6 |
6 |
- |
B |
10 |
8 |
500 บาท |
C |
5 |
4 |
300 บาท |
D |
4 |
1 |
700 บาท |
E |
9 |
7 |
600 บาท |
F |
2 |
1 |
800 บาท |
วิธีทำ ขั้นตอนการแก้ปัญหาทำได้ดังต่อไปนี้คือ
1. วิเคราะห์หาวิถีวิกฤตของข่ายงาน ดังวิธีที่ได้กล่าวมาแล้วและตัวอย่างการแก้ปัญหา ในตัวอย่างที่ 5 และ 6 จะได้ว่าวิถีวิกฤตของข่ายงานประกอบด้วยกิจกรรม C, D, E และ F โดยมีเวลาแล้วเสร็จของโครงการเท่ากับ 20 วัน
2. พิจารณากิจกรรมวิกฤต โดยนำกิจกรรมวิกฤตมาจัดลำดับตามต้นทุนการเร่งรัดกิจกรรม
กิจกรรม |
ต้นทุนการเร่งรัด/วัน |
จำนวนวันที่เร่งรัดได้ |
C |
300 บาท |
1 |
E |
600 บาท |
2 |
D |
700 บาท |
3 |
F |
800 บาท |
1 |
3. เริ่มต้นทำการเร่งรัดกิจกรรมโดยเลือกกิจกรรมที่มีต้นทุนเร่งรัดต่ำสุด คือ กิจกรรม C เป็นอันดับแรก จะต้องเสียต้นทุน 300 บาท ทำให้โครงการเสร็จเร็วขึ้น 1 วัน ต้นทุนที่จ่ายไปมีค่าน้อยกว่าค่าดำเนินการโครงการที่จะประหยัดได้ ดังนั้นเร่งรัดกิจกรรม C ให้เสร็จภายใน 4 วัน เวลาแล้วเสร็จของโครงการจะเป็น 19 วัน
4. วิเคราะห์หาวิถีวิกฤตของข่ายงานหลังจากเร่งรัดงาน C แล้ว พบว่าวิถีวิกฤตยังคงเป็นวิถีเดิม คือ C-D-E-F ดังนั้นเลือกเร่งรัดกิจกรรมที่มีต้นทุนการเร่งรัดกิจกรรมต่ำสุดถัดไปคือ กิจกรรม E ซึ่งมีต้นทุนการเร่งรัดกิจกรรม 600 บาท
5. วิเคราะห์หาวิถีวิกฤตของข่ายงานหลังการเร่งรัดกิจกรรม E ลง 1 วัน (เหลือ 8 วัน) จะได้ว่าวิถีวิกฤตจะมี 2 วิถี คือ C-D-E-F และ A-B-F ซึ่งเมื่อนำกิจกรรมมาจัดเรียงตามลำดับ ต้นทุนการเร่งรัดกิจกรรมจะได้ ดังแสดงต่อไปนี้
วิถีวิกฤต |
กิจกรรม |
ต้นทุนเร่งรัด/วัน |
จำนวนวันที่เร่งรัดได้ |
A-B-F |
A |
- |
เร่งรัดไม่ได้ |
|
B |
500 บาท |
2 |
|
F |
800 บาท |
1 |
C-D-E-F |
C |
- |
เร่งรัดไม่ได้อีกแล้ว |
|
E |
600 บาท |
1 |
|
D |
700 บาท |
3 |
|
F |
800 บาท |
1 |
จากการพิจารณาจะเห็นว่ากิจกรรม F เป็นกิจกรรมร่วมของวิถีวิกฤตทั้งสอง ดังนั้นการเร่งรัดกิจกรรมนี้ให้เสร็จเร็วขึ้นจะทำให้โครงการเสร็จเร็วขึ้นได้และต้นทุนการเร่งรัดกิจกรรมเป็น 800 บาท นอกจากนี้อาจเลือกเร่งรัดกิจกรรม B และ E ซึ่งจะทำให้เวลาแล้วเสร็จของโครงการเสร็จเร็วขึ้น 1 วันเช่นเดียวกัน แต่ต้นทุนการเร่งรัดกิจกรรมจะสูงกว่าคือ เท่ากับ 1,100 บาท (500+600) ดังนั้นจึงเลือกเร่งรัดกิจกรรม F ก่อน
6. พิจารณาข่ายงานหลังการเร่งรัดกิจกรรม F จะได้ว่าวิถีวิกฤตยังคงมี 2 วิถี คือ A-B-F และ C-D-E-F และกิจกรรมที่สามารถเร่งรัดได้คือ B และ E โดยมีผลรวมของต้นทุนเร่งรัดต่ำกว่าค่าดำเนินการโครงการที่จะประหยัดได้ จึงเร่งรัดกิจกรรม B และ E กิจกรรมละ 1 วัน
7. จากการพิจารณาข่ายงานหลังการเร่งรัดกิจกรรม B และ E พบว่า วิถีวิกฤตยังคงเป็น A-B-F และ C-D-E-F และการเร่งรัดโครงการให้เสร็จเร็วขึ้นอาจทำได้อีก 1 วัน โดยการเร่งรัดกิจกรรม B และ D แต่ผลรวมของต้นทุนการเร่งรัดงานเท่ากับ 1,200 บาท (500+700) ซึ่งมีค่ามากกว่าค่าดำเนินการโครงการที่ประหยัดได้ ดังนั้นจึงไม่เร่งรัดงานต่อไป โดยให้โครงการเสร็จในเวลา 16 วัน
ผลสรุปของการเร่งรัดกิจกรรมแสดงดังต่อไปนี้คือ
วิถี |
เวลาแล้วเสร็จของโครงการหลังการการเร่งรัดกิจกรรม
N วัน |
||||
N =0 |
1 |
2 |
3 |
4 |
|
C-D-E-F |
20 |
19 |
18 |
17 |
16 |
A-B-F |
18 |
18 |
18 |
17 |
16 |
กิจกรรมที่เร่งรัด |
|
C |
E |
F |
B, E |
ต้นทุนเร่งรัดกิจกรรม (บาท) |
|
300 |
600 |
800 |
1,100 |